บทที่ ๒
เอกสารและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้
ผู้ศึกษาได้ทำการศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยเรียบเรียง และนำเสนอสาระสำคัญตามหัวข้อ ดังนี้
๑.
พันธ์กล้วยในประเทศไทย
๒. วิธีทำกระดาษกาบกล้วย
๓. วิธีทำกระดาษสา
๔.
โซดาไฟ
๕. คลอรีน
๑. พันธุ์กล้วยในประเทศไทย
ประเทศไทยมีการปลูกกล้วยกันมาช้านาน กล้วยที่ปลูกมีมากมายหลายชนิด
พันธุ์กล้วยที่ใช้ปลูกในประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณนั้น
มีทั้งพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิม และนำเข้ามาจากประเทศใกล้เคียง
กล้วยที่รู้จักกันในสมัยสุโขทัยคือ กล้วยตานี และปัจจุบันในจังหวัดสุโขทัยก็ยังมีการปลูกกล้วยตานีมากที่สุด
แต่เรากลับไม่พบกล้วยตานีในป่า ทั้งๆ ที่กล้วยตานีก็เป็นกล้วยป่าชนิดหนึ่ง
มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย จีน และพม่า ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่า
กล้วยตานีน่าจะนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยตอนต้น หรือช่วงการอพยพของคนไทยมาตั้งถิ่นฐานที่สุโขทัย
ในสมัยอยุธยา
เดอลาลูแบร์ (De La Loub`ere) อัครราชทูตชาวฝรั่งเศสที่เดินทางมาเมืองไทยในรัช
สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐
ได้เขียนบันทึกถึงสิ่งที่เขาได้พบเห็นในเมืองไทยไว้ว่า ได้เห็นกล้วยงวงช้าง
ซึ่งก็คือ กล้วยร้อยหวีในปัจจุบัน ที่ส่วนใหญ่ปลูกไว้เพื่อเป็นไม้ประดับนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่ากันมาว่า มีการค้าขายกล้วยตีบอีกด้วย แสดงให้เห็นว่า
ได้มีการปลูกกล้วยทั้งเพื่อความสวยงาม และเพื่อการบริโภคกันมาช้านานแล้ว
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗
ในรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
ซึ่งเป็นปรมาจารย์ทางด้านภาษาไทย ได้เขียนหนังสือ พรรณพฤกษากับสัตวาภิธาน
เพื่อเป็นแบบเรียนภาษาไทยสำหรับใช้ในโรงเรียน
กล่าวถึงชื่อของพรรณไม้และสัตว์ชนิดต่างๆ ที่มีอยู่ในเมืองไทย
โดยเรียบเรียงเป็นกาพย์ฉบัง ๑๖ เพื่อให้ไพเราะและจดจำได้ง่าย
ในหนังสือดังกล่าวมีข้อความที่พรรณนาถึงชื่อกล้วยชนิดต่างๆ ไว้
ทำให้เราได้ทราบชนิดของกล้วยมากขึ้น
แสดงให้เห็นถึงความนิยมในการปลูกกล้วยในสมัยนั้น
ทั้งนี้เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสประเทศต่างๆ
หลายประเทศ จึงได้มีการนำกล้วยบางชนิดเข้ามาปลูกในรัชสมัยของพระองค์
หลังจากที่นักวิชาการชาวตะวันตกได้เริ่มจำแนกชนิดของกล้วยตามลักษณะทางพันธุกรรม
โดยใช้จีโนมของกล้วยเป็นตัวกำหนดในการแยกชนิดตามวิธีของซิมมอนดส์และเชบเฟิร์ด
ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น จึงกล่าวได้ว่า
กล้วยที่บริโภคกันอยู่ในปัจจุบันมีบรรพบุรุษอยู่เพียง ๒ ชนิดเท่านั้น คือ กล้วยป่า
และกล้วยตานี กล้วยที่มีกำเนิดจากกล้วยป่ามีจีโนมทางพันธุกรรมเป็น AA ส่วนกล้วยที่มีกำเนิดจากกล้วยตานีมีจีโนม เป็น BB และกล้วยลูกผสมของทั้ง
๒ ชนิด มีจีโนมเป็น AAB, ABB, AABB และ ABBB นอกจากนี้ ซิมมอนดส์ยังได้จำแนกชนิดของกล้วยในประเทศไทยว่ามีอยู่ ๑๕
พันธุ์
ต่อมา
นักวิชาการไทยได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพันธุ์และชนิดของกล้วย คือ ใน พ.ศ.
๒๕๑๐ วัฒนา เสถียรสวัสดิ์ และปวิณปุณศรี
ได้ทำการรวบรวมพันธุ์กล้วยที่พบในประเทศได้ ๑๒๕ สายพันธุ์
และจากการจำแนกจัดกลุ่มแล้ว พบว่ามี ๒๐ พันธุ์ หลังจากนั้นในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๓ -
๒๕๒๖ เบญจมาศ ศิลาย้อย และฉลองชัย แบบประเสริฐ แห่งภาควิชาพืชสวน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทำการสำรวจพันธุ์กล้วยในประเทศไทย
และรวบรวมพันธุ์ไว้ที่สถานีวิจัยปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยรวบรวมได้ทั้งหมด
๓๒๓ สายพันธุ์ แต่เมื่อจำแนกชนิดแล้ว พบว่ามีอยู่เพียง ๕๓ พันธุ์
หลังจากสิ้นสุดโครงการ ยังได้ทำการรวบรวมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน พบว่ามีอยู่ ๗๑
พันธุ์ รวมทั้งกล้วยป่าและกล้วยประดับ
ทั้งนี้ไม่นับรวมพันธุ์กล้วยที่ได้มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งมีอีกหลายพันธุ์
ปัจจุบันกล้วยในเมืองไทย ซึ่งจำแนกชนิดตามจีโนม มีดังนี้
๑.๑ กลุ่ม
AA
ที่พบในประเทศไทยมี กล้วยป่า
สำหรับกล้วยกินได้ในกลุ่มนี้มีขนาดเล็ก รสหวาน กลิ่นหอม รับประทานสด ได้แก่
๑.๒
กลุ่ม AAA
กล้วยกลุ่มนี้มีจำนวน
โครโมโซม ๒n = ๓๓ ผลจึงมีขนาดใหญ่กว่ากลุ่มแรก
รูปร่างผลเรียวยาว มีเนื้อนุ่ม รสหวาน กลิ่นหอม รับประทานสดเช่นกันได้แก่
๑.๓
กลุ่ม BB
ในประเทศไทยจะมีแต่กล้วยตานี ซึ่งเป็นกล้วยป่าชนิดหนึ่ง
แต่ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย รับประทานผลอ่อนได้ โดยนำมาใส่แกงเผ็ด ทำส้มตำ
ไม่นิยมรับประทานผลแก่ เพราะมีเมล็ดมาก
แต่คนไทยและคนเอเชียส่วนใหญ่รับประทานปลีและหยวก ไม่มีกล้วยกินได้ในกลุ่ม BB
ในประเทศไทย แต่พบว่ามีที่ประเทศฟิลิปปินส์
๑.๔
กลุ่ม BBB
กล้วยในกลุ่มนี้เกิดจากกล้วยตานี (Musa balbisiana) เนื้อไม่ค่อยนุ่ม
ประกอบด้วยแป้งมาก เมื่อสุกก็ยังมีแป้งมากอยู่ จึงไม่ค่อยหวาน ขนาดผลใหญ่
เมื่อนำมาทำให้สุกด้วยความร้อน จะทำให้รสชาติดีขึ้น เนื้อเหนียวนุ่ม เช่น
๑.๕
กลุ่ม AAB
กล้วยกลุ่มนี้เกิดจากการผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี เมื่อผลสุก
มีรสชาติดีกว่ากล้วยกลุ่ม ABB ได้แก่ กล้วยน้ำ กล้วยน้ำฝาด
กล้วยนมสวรรค์ กล้วยนิ้วมือนาง กล้วยไข่โบราณ กล้วยทองเดช กล้วยศรีนวล กล้วยขม
กล้วยนมสาว แต่มีกล้วยกลุ่ม AAB บางชนิดที่มีความคล้ายกับ ABB
กล่าวคือ เนื้อจะค่อนข้างแข็ง มีแป้งมาก เมื่อสุกเนื้อไม่นุ่ม
ทั้งนี้อาจได้รับเชื้อพันธุกรรมของกล้วยป่าที่ต่าง sub species กัน จึงทำให้ลักษณะต่างกัน กล้วยในกลุ่มนี้เรียกว่า plantain
subgroup ซึ่งจะต้องทำให้สุกโดยการต้ม ปิ้ง เผา เช่นเดียวกับกลุ่ม ABB
ได้แก่

๑.๖
กลุ่ม ABB
กล้วยกลุ่มนี้เป็นลูกผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี มีแป้งมาก ขนาดผลใหญ่
ไม่นิยมรับประทานสด เพราะเมื่อสุกรสไม่หวานมาก บางครั้งมีรสฝาด เมื่อนำมาต้ม ปิ้ง
ย่าง และเชื่อม จะทำให้รสชาติดีขึ้น ได้แก่ กล้วยหักมุกเขียว กล้วยหักมุกนวล
กล้วยเปลือกหนา กล้วยส้ม กล้วยนางพญา กล้วยนมหมี กล้วยน้ำว้า
สำหรับกล้วยน้ำว้าแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด ตามสีของเนื้อ คือ น้ำว้าแดง น้ำว้าขาว
และน้ำว้าเหลือง คนไทยรับประทานกล้วยน้ำว้า ทั้งผลสด ต้ม ปิ้ง และนำมาประกอบอาหาร
นอกจากนี้ยังมีกล้วยน้ำว้าดำ ซึ่งเปลือกมีสีครั่งปนดำ แต่เนื้อมีสีขาว รสชาติอร่อยคล้ายกล้วยน้ำว้าขาว
สำหรับกล้วยตีบ เหมาะที่จะรับประทานผลสด เพราะเมื่อนำไปย่าง หรือต้มจะมีรสฝาด

๑.๗
กลุ่ม ABBB
กล้วยในกลุ่มนี้เป็นลูกผสมเช่นกัน
จึงมีแป้งมาก และมีอยู่พันธุ์เดียวคือ กล้วยเทพรส หรือกล้วยทิพรส ผลมีขนาดใหญ่มาก
บางทีมีดอกเพศผู้หรือปลี บางทีไม่มี ถ้าหากไม่มีดอกเพศผู้ จะไม่เห็นปลี
และมีผลขนาดใหญ่ ถ้ามีดอกเพศผู้ ผลจะมีขนาดเล็กกว่า มีหลายหวีและหลายผล การมีปลีและไม่มีปลีนี้เกิดจากการกลายพันธุ์แบบกลับไปกลับมาได้
ดังนั้นจะเห็นว่า ในกอเดียวกันอาจมีทั้งกล้วยเทพรสมีปลี และไม่มีปลี
หรือบางครั้งมี ๒ - ๓ ปลี ในสมัยโบราณเรียกกล้วยเทพรสที่มีปลีว่า กล้วยทิพรส
กล้วยเทพรสที่สุกงอมจะหวาน เมื่อนำไปต้มมีรสฝาด
๑.๘
กลุ่ม AABB
เป็นลูกผสมมีเชื้อพันธุกรรมของกล้วยป่ากับกล้วยตานี
กล้วยในกลุ่มนี้มีอยู่ชนิดเดียวในประเทศไทย คือ กล้วยเงิน ผลขนาดใหญ่
รูปร่างคล้ายกล้วยไข่ เมื่อสุกผิวสีเหลืองสดใส เนื้อผลสีส้ม มีแป้งมาก
รับประทานผลสด
นอกจากกล้วยดังที่ได้กล่าวแล้ว
ยังมีกล้วยป่าที่เกิดในธรรมชาติซึ่งมีเมล็ดมาก ทั้งกล้วยในสกุล Musa acuminataและ Musa
itineransหรือที่เรียกว่า กล้วยหก หรือกล้วยอ่างขาง
และกล้วยป่าที่เป็นกล้วยประดับ เช่น กล้วยบัวสีส้ม และกล้วยบัวสีชมพู
๒. วิธีการทำกระดาษจากกาบกล้วย
๒.๑ ทำเยื่อกระดาษ
เลือกต้นกล้วยที่มีอายุประมาณ
๑o เดือนขึ้นไป
และตัดเครือกล้วยแล้วสับต้นกล้วย ขนาด ๒-๕ นิ้ว
ใช้เฉพาะกาบกล้วย แกนต้นกล้วยทิ้งไป นำกาบกล้วยที่สับแล้วนี้ใส่ในถังต้ม เติมน้ำ ๑
ใน ๓ ของถัง ใส่โซดาไฟ (โซเดียมเบนโซเอต) ลงไปใช้เวลาต้มประมาณ ๓ ชั่วโมง ตักเยื่อออกมา ล้างให้สะอาด
เวลาต้มต้องสวมถุงมือยางที่เตรียมไว้ รองเท้าบู้ท
ผ้ากันเปื้อนต้องสวมเพื่อป้องกันสารเคมีและความสกปรกจากยางกล้วย
นำเยื่อกล้วยที่ต้มแล้วใส่ถุงตาข่าย
ใช้เท้าเหยียบให้เนื้อเยื่อแตกออกจากกันโดยเหยียบในพื้นที่สะอาดก่อนนำออกจากถุง
a. ย้อมสี
ต้มน้ำให้ร้อน
เติมสีย้อมและเกลือแกง ต้มน้ำให้เดือด เติมเยื่อกล้วยลงไป ต้มอีก ๓o นาทีให้เดือด
ขณะต้มควรคนเยื่อกล้วยให้ทั่ว เพื่อให้สีที่ย้อมติดเส้นใยจนทั่ว
b. ฟอกย้อม
ใส่น้ำ
๒ ใน ๓ ของถังแช่ เติมคลอรีนผง ๓ ขีด นำเยื่อกล้วยที่ต้มย้อมสีแช่ในบ่อ ทิ้งไว้ ๒
ชั่วโมง แล้วนำเยื่อกล้วยออกจากถังแช่ ล้างน้ำให้สะอาด
c. การขึ้นแม่พิมพ์ตาข่าย
นำเนื้อเยื่อบีบน้ำพอชุ่ม
ชั่งน้ำหนัก ๓ ขีดครึ่ง
ปั้นเป็นก้อนใส่ตะกร้าไว้นำแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้แช่ลงในกระบะที่มีน้ำอยู่ประมาณครึ่งหนึ่งของแม่พิมพ์นำเนื้อเยื่อกล้วยที่ปั้นก้อนไว้
กระจายเนื้อเยื่อในน้ำในแบบแม่พิมพ์เกลี่ยให้ทั่ว โดยเฉพาะบริเวณขอบ เพื่อไม่ให้ขอบกระดาษบางและขาดง่าย
ตากจนแห้ง เท่านี้ก็จะได้กระดาษจาเยื่อกล้วย นำไปทำประโยชน์ได้อีกสารพัดอย่าง เช่น
เดียวกับกระดาษสาทั่วๆ ไป
๓. โซดาไฟ
๓.๑
โซดาไฟ หรือ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) มีสถานะเป็นของแข็งสีขาวหรืออาจอยู่ในรูปของเหลวที่เป็นสารละลาย
ถือเป็นสารเคมีที่มีความสำคัญมากในภาคอุตสาหกรรม
โดยปัจจุบันมีจำหน่ายทั้งในสถานะของแข็ง และของเหลว บางครั้งเรียกกันว่า ผงมัน
ส่วนในรูปสารละลายมักพบความเข้มข้น 50%
๓.๑.๑ โซดาไฟก้อน เป็นสถานะปกติของโซดาไฟที่อยู่ในรูปของแข็ง มีลักษณะเป็นผลึกหรือผงสีขาว
มีคุณสมบัติในการละลายน้ำได้ดี เมื่อละลายน้ำจะให้ฤทธิ์เป็นด่างแก่
ใช้มากในภาคอุตสาหกรรม และมีใช้บ้างในภาคครัวเรือน และการเกษตร
๓.๑.๒ โซดาไฟเหลว เป็นผลิตภัณฑ์ของโซดาไฟที่อยู่ในรูปของเหลวที่ละลายอยู่ในตัวทำละลาย (น้ำ)
มีฤทธิ์เป็นด่าง ไม่มีกลิ่น แต่สามารถเกิดไอระเหยได้ เมื่อสัมผัสจะลื่นเหมือนสบู่
พบจำหน่ายมากในปัจจุบัน ได้แก่ โซดาไฟ 32% และ50% เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้มากในภาคอุตสาหกรรม
๓.๒ ลักษณะเฉพาะของโซดาไฟ
๓.๒.๑เป็นก้อนผลึกหรือผงสีขาว
๓.๒.๒ละลายน้ำได้ด่างแก่
๓.๒.๓มวลอะตอมเท่ากับ
39.9971
กรัม/โมล
๓.๒.๔ความหนาแน่น
2.1
กรัม/ลบ.ซม.
๓.๒.๕จุดหลอมเหลวที่
318
องศาเซลเซียส
๓.๒.๖จุดเดือดที่
1390
องศาเซลเซียส
๓.๒.๗
ความสามารถในการละลายน้ำ 111
กรัม/100 มล. ที่ 20 องศาเซลเซียส
๓.๓
การผลิตโซเดียมไฮดรอกไซด์
๓.๓.๑ การผลิตจากสารละลาย
NaClหรือเกลือแกง
ด้วยหลักการอิเล็กโทรไลซิสของเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ได้แก่
เมมเบรนเซลล์ (Membrane cell) และไดอะแฟรม เซลล์ (Diaphragm
cell) โดยการนำเกลือมาแยกด้วยกระแสไฟฟ้ากระแสตรงทำให้เกิดก๊าซคลอรีน
และโซเดียมไอออน จากนั้นโซเดียมไอออนจะทำปฏิกิริยากับน้ำในเซลล์จนเกิดโซเดียมไฮดรอกไซด์
ก๊าซไฮโดรเจน และก๊าซคลอรีน ดังสมการ
2NaCl + H2O+2e- = H2 + 2NaOH + Cl2
๓.๓.๒ การผลิตจากปูนขาว
ด้วยการละลายโซดา (NaCO3) ในน้ำปูนขาว (Ca(OH)2)
ที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส
ทำให้ได้โซเดียมไฮดรอกไซด์ และแคลเซียมคาร์บอเนต ดังสมการ
NaCO3 + Ca(OH)2 = 2NaOH + CaCO3
โดยโซเดียมไฮดรอกไซด์จะระเหยตัวออก
และไหลเข้าสู่ท่อเหล็กเย็นเพื่อกลั่น ซึ่งจะมีโซเดียมไฮดรอกไซด์ประมาณ 92%
๓.๓.๓ การผลิตจากสารประกอบเฟอร์ไรท์
สารประกอบเฟอร์ไรท์ที่ใช้ในกระบวนการผลิต คือ NaO.FeO3 จากการเตรียมด้วยสารประกอบเฟอร์ไรท์กับผงโซดาที่อุณหภูมิ 1100 ถึง 1200 องศาเซลเซียส
และเข้าสู่กระบวนการชะด้วยน้ำจนได้โซเดียมไฮดรอกไซด์ และตะกอนสารประกอบเฟอร์ไรท์
ดังสมการ
NaO.FeO3 + H2O = 2NaOH + FeO3
๓.๔
ประโยชน์โซดาไฟ
โซดาไฟสามารถใช้ในรูปของโซดาไฟก้อน
และโซดาไฟเหลว ในด้านต่างๆ คือ
-
เป็นสารตั้งต้นในการผลิตโซดาไฟเหลว
-
ใช้สำหรับอุตสาหกรรมผลิตสบู่
ด้วยการทำปฏิกิริยากับไขมันเปลี่ยนเป็นสบู่
-
ใช้สำหรับขจัดคราบสกปรก และสิ่งอุดตันในท่อระบายน้ำ
ด้วยก้อนหรือละลายน้ำเทราดบริเวณที่มีการอุดตันของท่อ
-
ใช้สำหรับปรับสภาพความเป็นกรดของน้ำให้เป็นด่าง
โดยเฉพาะในระบบบำบัดน้ำเสียที่ต้องปรับความเป็นกรด-ด่างของน้ำ
-
ใช้สำหรับการตกตะกอนของแร่ธาตุหรือโลหะหนักในกระบวนการบำบัดน้ำเสีย
-
ใช้ฟื้นสภาพของเรซินของระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำ
-
ใช้ในกระบวนการฟอกย้อมไหม โดยเฉพาะขั้นตอนการลอกกาวไหมที่ต้องต้มละลายกาวไหมด้วยโซดาไฟ
สำหรับการฟอกไหมในระดับครัวเรือน ชาวบ้านเรียกโซดาไฟว่า ผงมัน
ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายเคมีฟอกไหม
๓.๕ ตัวอย่างประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม
๓.๕.๑ อุตสาหกรรมสิ่งทอ
มักใช้สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ในขั้นตอนการปรับสภาพเส้นใยที่อุณหภูมิ 15-25
องศาเซลเซียส นาน 25-40 นาที
ซึ่งจะใช้ความเข้มข้นประมาณ 20-25% ซึ่งจะทำให้เกิดการคลายตัวของเส้นใยเซลลูโลสทำให้เพิ่มความสามารถในการดูดซับสีย้อม
เพิ่มความมันวาว และอ่อนนุ่มขณะถักทอ
๓.๕.๒ อุตสาหกรรมกระดาษ
มักใช้สำหรับการฟอกขาวเยื่อกระดาษร่วมกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
ซึ่งจะไม่ทำลายสภาพเส้นใยเยื่อกระดาษ
๓.๕.๓ อุตสาหกรรมอาหาร
มีการใช้ในหลายรูปแบบ ได้แก่
- การล้างทำความสะอาดขวดหรือภาชนะบรรจุภัณฑ์
- การแปรรูปผลิตภัณฑ์แป้ง เพื่อย่อยสลายแป้งให้เป็นน้ำตาล
- ใช้ในกระบวนการผลิตผงชูรสหรือโมโนโซเดียมกลูตาเมต
๓.๕.๔ อุตสาหกรรมสบู่
และผงซักฟอก โดยใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ในการปรับสภาพกรดไขมันให้เป็นกลาง
๓.๖
ข้อมูลความปลอดภัย
๓.๖.๑ ละอองของโซเดียมไฮดรอกไซด์ทำให้เกิดการอักเสบที่เยื่อบุระบบทางเดินหายใจ
และอาจมีผลให้เกิดการระคายเคือง และอักเสบที่ปอด
๓.๖.๒ การสัมผัสกับผิวหนังที่มีความเข้มข้นสูงจะทำให้เกิดเป็นแผลพุพอง
และเป็นแผลเป็นได้
หรือการสัมผัสกับไอของโซเดียมไฮดรอกไซด์เป็นเวลานานจะทำให้ผิวหนังแห้ง
แตกสะเก็ดเป็นแผลได้
๓.๖.๓ เมื่อสัมผัสกับตาจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง
ทำลายเนื้อเยื่อ แผลพุพอง เป็นต้อหินหรือต้อกระจกและอาจตาบอดได้
๓.๖.๔ เมื่อเข้าสู่ปาก
และทางเดินอาหารจะทำให้เกิดการกัดกร่อนอย่างรุนแรงต่อเนื้อเยื่อทางเดิน อาหาร
ทำให้เป็นแผลที่ช่องปาก และลำคอไหม้ ปวดท้อง ท้องเสีย อาเจียน วิงเวียน จนถึงตายได้
๓.๖.๕ ขณะใช้งาน
ควรสวมผ้าปิดจมูก สวมถุงเท้า ถุงยางมือ แว่นตากันสารเคมี
และสวมชุดป้องกันสารเคมีให้เรียบร้อย
๔. ขั้นตอนการทำกระดาษสา
๔.๑ การทำปอสาให้เปื่อยและขาว
๔.๑.๑
การต้มปอสาให้เปื่อย
การต้มเปลือกสาจะเหมือนกับการต้มวัตถุดิบอื่นๆ
โดยเตรียมน้ำเปล่าใส่ลงในถังต้มเยื่อทำด้วยสแตนเลสใช้อัตราส่วนระหว่างเยื่อแห้งกับน้ำเท่ากับ 1:10 แล้วใส่โซดาไฟลงไปจำนวนที่ใช้ขึ้นอัพเกรดของเปลือกสา ถ้าเป็นเกรด SA และA ใช้ร้อยละ7 ของน้ำหนักเปลือกสาแห้งคนให้ละลายจนหมด
จึงนำเปลือกสาที่ผ่านการแช่น้ำหรือสารละลายด่างลงไปคนให้เปลือกคลุกเคล้ากับสารละลายด่างจนทั่ว
ปิดฝาถังเยื่อต้มที่มีอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส
โดยช่วงแรกให้ใช้ไฟแรงเพื่อให้อุณหภูมิถึงจุดเดือดเร็วๆ
เมื่อเดือดแล้วลดความแรงของไฟลงให้เดือด
ปกติเพื่อไม่ให้สารละลายด่างล้นออกไปจากถังต้มและคนพริกเยื่อที่ต้มเอาด้านล่างขึ้นบน
บนลงล่างทุกๆ 1 ชั่วโมง โดยจับเวลาหลังเดือดเป็นเวลา 3 ชั่วโมงแล้วจึงหยุดต้มทั้งนี้ให้พิจารณาใช้มือดึงด้านล่างและตามยาวเยื่อหลุดออกมาจากกันโดยง่าย
หลังจากนั้นให้แช่เยื่อที่ต้มแล้วเอาไว้ในสารละลายด่างที่ต้มต่ออีก 1 คืน
เพื่อให้เกิดการย่อยสลายที่สมบูรณ์และสะดวกต่อการปฏิบัติงานเมื่อเย็นลง แล้วล้างเอาด่างออกจากเยื่อด้วยน้ำ 3 ครั้งโดยดูจากเมื่อจับดูแล้วไม่มีความลื่นที่มือ
น้ำด่างที่ผ่านการต้มแล้วสามารถนำไปแช่เปลือกสาอีกได้
๔.๑.๒
การทำความสะอาดปอสาหลังต้ม
เมื่อครบแล้ว
นำปอสาย้ายไปใส่บ่อปูนสำหรับล้างปอสา นำน้ำสะอาดใส่จนเต็มแล้วล้างปอสา ประมาณ 2 น้ำ
เมื่อสัมผัสปอสาจะมีลักษณะลื่นมือและอ่อนถือว่าได้ที่แล้ว
๔.๑.๓
การต้มเพื่อฟอกเยื่อให้ขาว
การฟอกเยื่อ
เทน้ำในถัง
200 ลิตรที่ต้มปอสาเปื่อย จากนั้นใส่น้ำใหม่ในปริมาณ 1 : 5 ของปอสาเปื่อย
ตั้งไฟรอน้ำเดือด ใส่ไฮโดรเจนและซิลิเกต ลงไปพร้อมกัน คนทุก ๆ 1 ชั่วโมงเช่นกัน
ปิดฝาให้สนิท ต้มไปประมาณ 3 ชั่วโมง ปอสาถึงจะขาวได้ที่
๔.๑.๔ การทำความสะอาดปอสาหลังฟอกเยื่อ
เมื่อปอสาผ่านการฟอกแล้ว
จะนำปอสาลงไปแช่ในบ่อปูน เพื่อล้างน้ำอีกครั้ง
๔.๒ การทำปอสาให้เป็นเยื่อ
ธนกร
คุณยศยิ่ง(2555 กย.9.).เริ่มจากการนำน้ำใส่ในเครื่องโม่ เปิดเครื่องโม่
ใส่ปอสาเปื่อยลงไป เมื่อปอสากลายเป็นเยื่อละเอียด เราก็ใส่เยื่อสนตามลงไป
โม่จนเยื่อสนกับปอสาเข้ากัน จากนั้นใส่สีตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งให้เหมือน
โม่ให้เข้ากันอีกครั้ง นำเศษสีเหลือใช้ ตามสีที่เราทำเพื่อเพิ่มปริมาณของกระดาษ
จากนั้นนำวัตถุดิบให้ละเอียดเข้ากัน เมื่อเสร็จแล้ว
ปล่อยเยื่อสาลงในเข่งพลาสติกขนาดใหญ่เพื่อไม่ให้เยื่อสาอุ้มน้ำนั่นเอง
๔.๓ การทำเยื่อสาให้เป็นแผ่น
การทำกระดาษสามีด้วยกัน
2 แบบ คือ แบบช้อน และแบบแตะ หรือแบบหล่อ ซึ่งแบบแตะนี้แบ่งออกไปอีก 2 วิธี คือ
วิธีปั้นก้อนเปียก และวิธี consistency ก่อนที่จะทราบถึงวิธีการทำแผ่นแต่ละแบบของไทยจำเป็นต้องเข้าใจเกี่ยวกับตะแกรงที่ใช้ช้อนแผ่นก่อน
เพราะตะแกรงเป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่บ่งบอกถึงความแตกต่างว่าเป็นกระดาษแบบใด(วุฒินันท์
คงทัด , 2540)
ตะแกรงทำแผ่นแบบไทย
ประกอบด้วยส่วนที่เป็นกรอบไม้สี่เหลี่ยมอาจทำด้วยไม้ไผ่ หรือไม้สัก
ถ้าทำด้วยไม้ไผ่ราคาถูกอายุใช้งานจะสั้น แต่ถ้าเป็นไม้สักราคาจะแพง
สามารถใช้งานได้นาน ถ้าจะดีจะต้องทาด้วยยูรีแทนกันน้ำด้วย
ส่วนตาข่ายไนล่อนสีฟ้าและสีขาว ตาข่ายสีขาวจะแข็งแรงกว่าสีฟ้า
ตาข่ายนี้จะทำให้กระดาษมีรอยรูปตาข่ายเมื่อกระดาษแห้งแล้ว ซึ่งเป็นตำหนิชนิดหนึ่ง
๔.๓.๑ การทำกระดาษสาแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
๔.๓.๑.๑ แบบช้อน มักใช้กระดาษชนิดบางสามารถทำได้เป็นจำนวนมาก วันละ 200-300
แผ่นต่อคนต่อวัน แต่กระดาษที่ได้จะไม่ค่อยมีความสม่ำเสมอในแผ่น
และแต่ละแผ่นน้ำหนักกระดาษจะไม่เท่ากัน ถ้าจะให้เท่ากันคนช้อนแผ่นจะต้องมีความชำนาญมาก
วิธีการโดยนำน้ำใส่ในอ่างช้อนเยื่อใส่สารกระจายเยื่อที่เตรียมไว้ลงไปปริมาณมากน้อยตามความต้องการของแต่ละคน
โดยทั่วไปจะใช้ที่ความเข้มข้นร้อยละ 0.05
ของสารละลายถ้าใส่น้อยกระกระจายตัวของเยื่อก็จะไม่ดี ถ้าใส่มากเกินไปการไหลผ่านของน้ำออกจากตะแกรง
แผ่นกระดาษจะเสียได้
คนด้วยไม้ไผ่ให้สารกระจายเยื่อผสมกับน้ำช้อนเยื่อใส่เยื่อที่ตีแล้วลงไปในน้ำช้อนเยื่อคนให้กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอทั่งอ่าง
นำตะแกรงจ้วงตักเยื่อจากจุดที่ห่างที่สุด แล้วลากเข้าหาตัวช้าๆ
โดยรักษาระดับตะแกรงให้ขนานกับผิวหน้าของน้ำเยื่อไว้ตลอดเวลาความลึกของการจ้วงแต่ละครั้งขึ้นกับความหนาบางของกระดาษที่ต้องการ
ยกตะแกรงให้พ้นน้ำโดยเร็วในแนวดิ่ง รอจนน้ำหยดจากตะแกรงจนหมด จึงนำไปตาก
๔.๓.๑.๒ แบบแตะ เป็นวิธีการทำแผ่นที่สามารถกำหนดความหนาของกระดาษได้
แต่การทำแผ่นจะช้ากว่าแบบช้อน กระดาษจะมีความสม่ำเสมอมากกว่า
๔.๓.๒ การตกแต่งแผ่นกระดาษสา
การตกแต่งแผ่นกระดาษสาเพื่อให้กระดาษสาสวยงามต่างไปจากแผ่นกระดาษสาทั่วไป
ซึ่งจะเป็นกระดาษสาสีขาวหรือสีต่างๆ การตกแต่งอาจจะโดยกระใส่ใบไม้ ดอกไม้ใช้เยื่อต่างสีหรือผสมเยื่อชนิดอื่นๆลงไปหรือเศษวัสดุเหลือใช้ทางเกษตรก็ได้
นอกจากจะให้ความแปลกใหม่ ความสวยงามแล้วยังช่วยเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับการะดาษสา
และวัสดุเหล่านั้นอีกด้วย การตกแต่งสามารถจะทำได้หลายวิธี ดังนี้
๔.๓.๒.๑
การตกแต่งโดยการใส่ดอกไม้และใบไม้ ความสวยงามจะขึ้นอยู่กับการออกแบบ
และชนิดของดอกไม้ที่จะนำมาใส่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนสีและการตกของสีเมื่อนำมาใส่ลงในกระดาษด้วย
ดอกไม้หรือใบไม้จะต้องไม่เปลี่ยนสีหรือสีจะต้องไม่ตก ปนเปื้อนกับกระดาษ
การใส่ดอกไม้และใบไม้ทำได้ 2 วิธี คือ
๔.๓.๒.๑.๑ ใส่ลงในเยื่อขณะทำแผ่น จะโดยวิธีช้อนหรือแตะก็ตาม
เมื่อช้อนหรือแตะเยื่อให้กระจายเต็มพื้นที่ของตะแกรง
แล้วนำดอกไม้หรือใบไม้วางลงบนเยื่อกระดาษตามแบบที่ได้กำหนดไว้แล้ว
ใช้นิ้วกดดอกไม้หรือใบไม้ลงใต้เยื่อให้เยื่อทับดอกและใบเอาไว้ แล้วยกขึ้น
จากนั้นรอให้น้ำหยุดไหลจึงนำไปตากแดด วิธีนี้สามารถจะทำได้เร็ว
แต่เยื่อปิดดอกไม้หรือใบไม้ไม่หมดและไม่สม่ำเสมอ บางบ้าง หนาบ้าง
บางแห่งก็จะไม่มีเยื่อปิดทำให้ดอกไม้และใบไม้หลุดออกมาได้
ดูแล้วไม่ค่อยสวยงามกระดาษแบบนี้อาจจะขายได้ในราคาไม่สูงมากนัก
๔.๓.๒.๑.๒ วางบนเยื่อแล้วปิดทับด้วยแผ่นกระดาษบาง
วิธีนี้จะต้องเตรียมแผ่นกระดาษสาชนิดบางเอาไว้ก่อน
แผ่นกระดาษสานี้เตรียมโดยการช้อนแผ่นบางๆ ตากให้แห้งให้พอกับจำนวนกระดาษที่จะทำ
เริ่มจากการช้อนหรือแตะเยื่อให้กระจายทั่วตะแกรงในอ่าง
แล้ววางดอกไม้หรือใบไม้บนเยื่อที่กำหนด หรือจะยกตะแกรงขึ้นจากน้ำก่อน
จึงจะวาดดอกไม้หรือใบไม้ เมื่อเสร็จแล้วขณะวางต้องดึงให้ตึงเท่ากันทั้งแผ่น
แผ่นกระดาษที่วางทับลงไปจะเปียกน้ำและจะติดกับกระดาษแผ่นล่างโดยไม่หลุด
วิธีนี้จะได้กระดาษที่มีความสม่ำเสมอทั่วทั้งแผ่นและไม่มีการหลุดของดอก
และใบไม้กระดาษแบบนี้เป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่าวิธีแรก
๔.๔
การตากและดึงกระดาษสา
๔.๔.๑
การทำกระดาษให้แห้ง
กระดาษสาแบบไทยไม่สามารถจะดึงออกจากตะแกรงในขณะเปียกได้
ดังนั้นจำเป็นจะต้องทำให้กระดาษแห้งทั้งตะแกรง ซึ่งมีด้วยกัน 2 วิธี คือ
๔.๔.๑.๑การตากแดด
โดยอาศัยความร้อนจากแสงแดดเป็นวิธีที่ประหยัดโดยนำตะแกรงที่น้ำไหลออกจากเยื่อหมดแล้วเอียง
45 องศา หันด้านที่มีกระดาษเข้าหาแสงแดด
ถ้าเป็นกระดาษที่ไม่ได้ย้อมสีแต่ถ้าเป็นกระดาษย้อมสีควรจะผึ่งให้แห้งในร่ม
เพื่อสีจะได้ไม่ซีดแต่ถ้าไม่มีพื้นที่จำเป็นจะต้องตากแดดให้หันด้านหลังตะแกรงเข้าหาแสงแดดจะช่วยลดการซีดของสีลงได้
กระดาษจะแห้งเร็วหรือช้าจะขึ้นกับสภาพของอากาศและความหนาของกระดาษด้วย
โดยปกติจะแห้งในเวลา 2-3 ชั่วโมงหรือการพิงกระดาษกับราวไม้ เอียงกระดาษ 45 องศา
๔.๔.๑.๒ ใช้ตู้อบ สามารถอบกระดาษได้ตลอดเวลาโดยไม่มีปัญหาของสภาพอากาศแต่การลงทุนค่อนข้างสูง
แหล่งให้ความร้อนจะเป็นแก๊สหรือไฟฟ้าก็ได้
กระดาษที่จะนำเข้าจำเป็นต้องให้น้ำหยดจนหมดก่อนจึงนำเข้าอบโดยวางซ้อนกันครั้งละหลายชั้นตามความจุของตู้อุณหภูมิที่ใช้ประมาณ
40-45 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิสูงเกินไปจะทำให้ตาข่ายไนล่อนหดตัวหลุดออกจากตะแกรงได้
กระดาษจะแห้งประมาณ 1 ชั่วโมง ตู้อบสามารถใช้ได้ทั้งกระดาษขาวและกระดาษสี
ส่วนกระดาษที่ใส่ดอกไม้และใบไม้เมื่อตัวกระดาษแห้งแล้วจำเป็นจะต้องหาที่แขวนกระดาษต่ออีก
1-2 วันเพื่อให้ดอกไม้หรือใบไม้แห้งสนิทก่อนมิฉะนั้นจะเกิดเชื้อราที่ดอกและใบไม้ที่ใส่เข้าไปได้
๔.๔.๒ การทำให้ผิวหน้ากระดาษเรียบ
โดยทั่วไปกระดาษสาไทยผิวหน้าของกระดาษจะไม่เรียบมีลักษณะย่น
ขรุขระ เนื่องจากไม่สามารถนำออกจากตะแกรงเข้าเครื่องกดไล่น้ำ (press) ทำให้แห้งบนผิวเรียบของแผ่นสแตนเลส (stream dry) หรือแผ่นไม้ (drying boards) ได้เหมือนกระดาษญี่ปุ่นหรือยุโรป
ยิ่งกระดาษที่หนามากจะมีผิวขรุขระมากกว่ากระดาษบาง การจะทำให้ผิวหน้ากระดาษเรียบ
สามารถทำได้ดังนี้
ครูดผิวหน้ากระดาษด้วยภาชนะขอบและผิวเรียบ
การครูดผิดหน้ากระดาษจะต้องรอให้น้ำหน้าผิวกระดาษระเหยออกไปประมาณร้อยละ 70 ก่อน
ถ้าเข้าอบควรจะครูดผิดหน้าก่อนเข้าอบจะได้ไม่เสียเวลาเปิด
เข้าออกในขณะตากแดดการะดาษจะมีความเหนียวขึ้น เวลาครูดผิวหน้าจะได้ไม่ขาด
การครูดโดยใช่มือขวาจับที่ก้นภาชนะ เช่น
ขันแล้วคว่ำขอบบนเข้าหาแผ่นกระดาษใช่ขอบครูดบนผิวกระดาษไปมาโดยค่อยเพิ่มน้ำหนักขึ้นทีละน้อย
โดยดูจากผิวของกระดาษเป็นหลัก และไม่กดแรงเกินไป กระดาษอาจจะขาดหรือมีตำหนิได้
การครูดผิวหน้าไม่สามารถกระทำได้ในครั้งเดียวทั้งแผ่นเนื่องจากการระเหยของน้ำออกจะจากแผ่นไม่เท่ากัน
ส่วนบนตะแกรงจะแห้งเร็วกว่าด่อนล่าง
ดังนั้นจึงต้องคอยครูดผิวหน้าจนหมดทั้งแผ่นกระดาษที่แห้งแล้วนำมาพ้นน้ำแล้วครูดหน้าภายหลังจะไม่เรียบเท่าในขณะตากหรือเปียกครั้งแรก
๔.๔.๓ การดึงกระดาษสาออกจากตะแกรง
การ
ดึงกระดาษออกจากตะแกรงหลังจากที่กระดาษแห้งแล้ว
นับว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำกระดาษแล้วมีความสำคัญค่อนข้างมาก
เนื่องจากคุณภาพของกระดาษจะต่ำลงเพราะกระดาษมีตำหนิ เช่น
รอยฉีกหรือหักพับจากการดึงกระดาษจะต้องนำตะแกรงมาตั้งเฉียบประมาณ 45 องศา
ใช้นิ้วกดด้านบนให้ห่างเท่าๆกัน ดึงกระดาษเข้าหาตัวลักษณะยกขึ้นเล็กน้อย
จนกระดาษหลุดออกจากตะแกรงทั้งแผ่นวิธีนี้อาจจะต้องหาที่ยึดขอบตะแกรงด้านบนไว้
มิฉะนั้นตะแกรงจะถูกตึงตามเข้ามาพร้อมกระดาษด้วย
ถ้าไม่มีและไม่สะดวกจำเป็นต้องใช่มือข้างหนึ่งจับขอบตะแกรงบนไว้
แล้วมืออีกข้างหนึ่งจับตรงกึ่งกลางขอบกระดาษด้านบน
ดึงกระดาษออกจากตะแกรงเหมือนที่กล่าวต้องมีต้องมีความระมัดระวังอย่าให้เกิด
รอยหักพับของกระดาษในขณะดึงควรจะดึงออกทีละแผ่นแล้ววางซ้อนกันให้เรียบร้อย
จึงจะดึงแผ่นต่อไป